เมื่อ ‘เครื่องยนต์’ ปะทะ ‘นักเล่าเรื่อง’ ฉุดรั้งอนาคตสื่อดิจิทัล

นักวิชาการสื่อใหม่จี้ผู้บริหารจัดทัพ “ไอที-ครีเอทีฟ” ใหม่ ชี้โครงสร้างอำนาจที่ผิดพลาดทำนวัตกรรมสะดุด-เสี่ยงหายนะทางกฎหมาย แนะใช้โมเดล “ไอทีคือผู้สนับสนุน” วัดผลจากความสำเร็จของฝ่ายคอนเทนต์ เพื่อชัยชนะในสมรภูมิข่าว

เสียงเรียกร้องจากนักวิชาการสื่อใหม่ได้ส่งสัญญาณเตือนภัยถึงอาการป่วยเรื้อรังที่กัดกินองค์กรสื่อยุคดิจิทัล เมื่อความขัดแย้งระหว่าง “เครื่องยนต์” คือฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอที) และ “นักเล่าเรื่อง” คือฝ่ายคอนเทนต์และครีเอทีฟ ได้กลายเป็นอุปสรรคสำคัญที่ฉุดรั้งการเติบโตขององค์กร ไม่ใช่เพียงแค่ความไม่สะดวกในการทำงานอีกต่อไป แต่เป็นต้นตอของนวัตกรรมที่หยุดชะงัก การลงทุนที่สูญเปล่า และที่น่ากังวลที่สุด คือความเสี่ยงทางกฎหมายที่อาจนำไปสู่หายนะ

รายงานเชิงลึกฉบับล่าสุดได้ชำแหละรอยร้าวที่ถ่างกว้างขึ้นทุกวันในห้องข่าวดิจิทัล ชี้ให้เห็นว่าการปล่อยให้ฝ่ายไอที ซึ่งมีวัฒนธรรมที่เน้นความมั่นคงและปลอดภัย มีอำนาจตัดสินใจเลือกเครื่องมือหรือกำหนดกระบวนการทำงานของฝ่ายสร้างสรรค์ที่ต้องการความเร็วและความคล่องตัว ถือเป็น “สูตรสำเร็จของความล้มเหลว”

เส้นแบ่งที่เลือนลาง สู่ความเสี่ยงทางกฎหมาย

ปัญหาสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมาคือภาวะ “บทบาททับซ้อน” (role-bleed) เมื่อฝ่ายไอทีก้าวล่วงขอบเขตความรับผิดชอบของฝ่ายอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 3 ประเด็นหลัก:

  1. การตัดสินใจเชิงสร้างสรรค์: ฝ่ายไอทีเป็นผู้เลือกซอฟต์แวร์ออกแบบหรือตัดต่อ โดยขาดความเข้าใจในกระบวนการทำงานจริงของนักข่าวและกราฟิกดีไซเนอร์
  2. อำนาจจัดซื้อจัดจ้าง: ฝ่ายไอทีนำการจัดซื้อเครื่องมือสร้างสรรค์ เช่น ระบบจัดการเนื้อหา (CMS) หรือ AI ช่วยเขียนข่าว โดยให้น้ำหนักกับคุณสมบัติทางเทคนิคมากกว่าความต้องการของผู้ใช้งานจริง
  3. ความสับสนระหว่าง ‘แพลตฟอร์ม’ กับ ‘เนื้อหา’: จุดปะทะที่อันตรายที่สุด คือเมื่อฝ่ายไอทีถูกดึงเข้าไปมีส่วนในการจัดการหรืออนุมัติ “เนื้อหา” ไม่ใช่แค่ดูแล “แพลตฟอร์ม”

“นี่คือกับดักความรับผิดทางกฎหมายที่ร้ายแรง” แหล่งข่าวผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายสื่อกล่าวเตือน “คดีตัวอย่างของ ‘ประชาไท’ คือบทเรียนราคาแพงที่ชี้ว่า กฎหมายอย่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ สามารถตีความให้ผู้ดูแลระบบ (ฝ่ายไอที) ต้องรับผิดชอบในเนื้อหาที่ผู้อื่นโพสต์ได้ หากถูกมองว่า ‘ยินยอม’ การให้ไอทีมีอำนาจคล้ายบรรณาธิการ จึงเป็นการเปิดประตูสู่การฟ้องร้องโดยไม่จำเป็น”

รายงานระบุชัดว่า บทบาทของไอทีคือการดูแล “ท่อส่งข้อมูล” ให้ราบรื่นและปลอดภัย ไม่ใช่การเป็น “บรรณาธิการ” ตัดสินเนื้อหาในท่อ การแบ่งแยกหน้าที่ให้ชัดเจนจึงเป็นยุทธศาสตร์การป้องกันความเสี่ยงทางกฎหมายที่สำคัญที่สุด

ต้นทุนที่ต้องจ่าย: นวัตกรรมเป็นอัมพาต-เงินลงทุนสูญเปล่า

ความขัดแย้งภายในนี้ได้ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ ทำให้องค์กรต้องจ่ายในราคาที่สูงลิ่ว เมื่อทีมสร้างสรรค์ถูกบังคับให้ใช้เครื่องมือที่เทอะทะและไม่มีประสิทธิภาพ พวกเขาจะเสียเวลาไปกับการต่อสู้กับเทคโนโลยีแทนที่จะสร้างสรรค์ผลงาน นำไปสู่ปรากฏการณ์ “Shadow IT” ที่พนักงานแอบใช้ซอฟต์แวร์ที่ไม่ได้รับอนุญาตเพื่อทำงานให้เสร็จ ซึ่งสร้างช่องโหว่ด้านความปลอดภัยมหาศาลให้กับองค์กร

วงจรที่เลวร้ายเกิดขึ้นเมื่อฝ่ายไอทีจัดหาเครื่องมือโดยยึดความปลอดภัยเป็นหลัก แต่กลับใช้งานยาก ทำให้ทีมสร้างสรรค์หันไปใช้เครื่องมือที่ไม่ปลอดภัยแต่ทำงานเร็วกว่า เป็นการบ่อนทำลายภารกิจหลักของฝ่ายไอทีโดยตรง

ตารางเปรียบเทียบ: โมเดลจัดซื้อที่ล้มเหลว vs. โมเดลแห่งความสำเร็จ

ขั้นตอนโมเดลที่ผิดพลาด (ไอทีนำ)โมเดลที่แนะนำ (ร่วมมือกัน)
ระบุความต้องการ“CMS ของเราเก่าแล้ว” (ปัญหาเทคนิค)“การโพสต์วิดีโอช้าเกินไป” (ปัญหาธุรกิจ)
กำหนดคุณสมบัติไอทีเขียนสเปกทางเทคนิคทีมคอนเทนต์เขียนความต้องการผู้ใช้
ประเมินผู้ขายไอทีดูเดโมและถามคำถามเทคนิคทีมร่วม (คอนเทนต์, ไอที) ทดสอบการใช้งานจริง
ตัดสินใจไอทีตัดสินใจจากราคาและเทคนิคตัดสินใจร่วมกันโดยวัดจากประสบการณ์ผู้ใช้และเทคนิค
ผลลัพธ์ได้เครื่องมือที่ไม่มีใครใช้ เงินลงทุนสูญเปล่าได้เครื่องมือที่ตอบโจทย์ ผู้ใช้ยอมรับและทำงานเร็วขึ้น

ทางออก: ปรับทัพสู่ “IT-as-a-Service”

ข้อเสนอของนักวิชาการไม่ใช่การลดอำนาจของฝ่ายไอที แต่เป็นการ “ปรับทิศทางความเชี่ยวชาญ” ไปสู่ภารกิจที่สร้างมูลค่าสูงขึ้น ผ่านแผนแม่บท 4 ขั้นตอน:

  1. เปลี่ยนไอทีเป็นผู้ให้บริการ (IT-as-a-Service): ปรับบทบาทจาก “ผู้คุมกฎ” เป็น “ผู้ให้บริการและที่ปรึกษา” โดยวัดผลความสำเร็จของฝ่ายไอทีจากความพึงพอใจและความสำเร็จของทีมคอนเทนต์ที่ตนสนับสนุน
  2. ใช้กรอบจัดซื้อแบบร่วมมือกัน: จัดตั้งคณะทำงานข้ามสายงาน (คอนเทนต์, ไอที, กฎหมาย, การเงิน) ในการจัดซื้อเทคโนโลยีสำคัญทุกครั้ง โดยให้ทีมคอนเทนต์เป็นผู้นำในการกำหนดความต้องการ
  3. สร้างวัฒนธรรมแห่งความร่วมมือ: กำหนดเป้าหมายร่วมกัน (KPIs) เช่น “ลดเวลาเผยแพร่ข่าวลง 30%” ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งสองฝ่าย และจัดให้มีการประชุมข้ามสายงานอย่างสม่ำเสมอ
  4. อาณัติจากผู้บริหาร: ผู้นำสูงสุดต้องประกาศสนับสนุนโมเดลใหม่อย่างชัดเจน และกำหนดให้หัวหน้าแต่ละฝ่ายรับผิดชอบต่อการเปลี่ยนแปลงนี้

“การถอดฝ่ายไอทีออกจากการตัดสินใจเชิงสร้างสรรค์ จะช่วยปลดปล่อยให้พวกเขามุ่งเน้นภารกิจที่แท้จริงได้ นั่นคือการสร้างรากฐานทางเทคโนโลยีที่ปลอดภัย ยืดหยุ่น และขยายตัวได้ เพื่อส่งเสริมให้ฝ่ายสร้างสรรค์ทำงานได้เร็วขึ้น นี่ไม่ใช่การลดความสำคัญ แต่เป็นการยกระดับไอทีจาก ‘คอขวด’ ไปสู่ ‘พันธมิตรเชิงกลยุทธ์’ ที่ความสำเร็จผูกติดอยู่กับผลงานขององค์กรโดยตรง” รายงานสรุป

ท้ายที่สุดแล้ว ชัยชนะในสงครามสื่อยุคใหม่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าใครมี “เครื่องยนต์” ที่ดีที่สุด หรือใครมี “นักเล่าเรื่อง” ที่เก่งที่สุด แต่อยู่ที่ว่าองค์กรใดจะสามารถผสานสองขุมพลังนี้ให้ทำงานร่วมกันได้อย่างไร้รอยต่อ ซึ่งความท้าทายที่เหลืออยู่ไม่ใช่เรื่องของความรู้ แต่เป็นเรื่องของ “ภาวะผู้นำ” ที่กล้าจะทลายกำแพงเก่าเพื่อสร้างอนาคตใหม่

ชวนเพื่อนๆเข้ากลุ่มไลน์ เพื่อรับข่าวสาร AI และวิธีใช้งาน AI ได้ทาง

หรือกดที่ลิ้งค์ https://line.me/ti/g2/oDOiEXWEWPAbslz-3LtaOShg4qxIx1YOMA71UA?utm_source=invitation&utm_medium=link_copy&utm_campaign=default

Piyapon pongkaew

บรรณาธิการ / คอลัมนิสต์ ThinkerFriend

New Media Scholar and Data Analyst: MEDIA AI

นักพัฒนานวัตกรรม AI ThinkerFriend – เพื่อนคิด

Profile ประวัติการทำงาน

contact : numsiam.pr@gmail.com

ThinkerFriend.com สังคมแห่งการแบ่งปัน เรื่องราวดีๆ โดยนักคิด นักเรียน และความรู้เรื่องราวที่เป็นประโยชน์ สร้างแรงบันดาลใจ ให้กับชาว ThinkerFriend ทุกคน

ยอดติดตามทุกช่องทางกว่า 50,000 follow up

สนใจติดต่อ

numsiam.pr@gmail.com