การเข้ามาของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ไม่ได้เป็นเพียงกระแส แต่เป็นคลื่นลูกใหม่ที่กำลังเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์การทำงานของภาครัฐทั่วโลก ประเทศที่ข้าราชการปรับตัวและนำ AI มาใช้จะก้าวไปข้างหน้าอย่างก้าวกระโดด ในขณะที่ผู้ที่ยังเพิกเฉยกำลังเผชิญความเสี่ยงรอบด้าน ทั้งต่อการทำงานของตนเอง องค์กร และอนาคตของประเทศชาติ
ข้อดี : เมื่อข้าราชการผสาน AI เพิ่มศักยภาพไร้ขีดจำกัด
- ประสิทธิภาพการทำงานพุ่งทะยาน : AI ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือช่วย แต่เป็น “ผู้เร่งความเร็ว” (Force Multiplier) ที่ทำให้งานประจำที่ซับซ้อนและใช้เวลานานกลายเป็นเรื่องง่ายดายและรวดเร็วขึ้นหลายเท่าตัว ยกตัวอย่างเช่น ระบบจัดการเอกสารอัตโนมัติ (AI-Knowledge Management) ที่ช่วยให้การค้นหาข้อมูลจากเดิมที่ใช้เวลาเป็นชั่วโมง เหลือเพียงไม่กี่วินาที หรือ AI Chatbot ที่ตอบคำถามประชาชนได้ตลอด 24 ชั่วโมง ลดภาระงานของเจ้าหน้าที่ลงได้ถึง 30% นอกจากนี้ งานวิเคราะห์ข้อมูลงบประมาณที่เคยใช้เวลาหลายสัปดาห์ ก็สามารถสรุปผลได้ทันทีผ่านเครื่องมือ Predictive Analytics ทำให้การตัดสินใจรวดเร็วและแม่นยำขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
- บริการสาธารณะเชิงรุก ตอบโจทย์ประชาชน : AI ไม่ได้หยุดอยู่แค่การเพิ่มประสิทธิภาพภายใน แต่ยังขยายผลสู่การพัฒนาบริการสาธารณะที่เข้าถึงและเข้าใจความต้องการของประชาชนอย่างลึกซึ้ง เช่น ระบบคาดการณ์ปัญหาการจราจรในกรุงเทพฯ ที่ใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลจากกล้องวงจรปิดและโซเชียลมีเดีย เพื่อปรับสัญญาณไฟจราจรแบบเรียลไทม์ ลดปัญหาความแออัด หรือแอปพลิเคชัน AI ตรวจคัดกรองโรคเบื้องต้นที่ช่วยลดเวลารอคอยในโรงพยาบาลรัฐได้ถึง 40%
- ตัดสินใจบนฐานข้อมูลที่แม่นยำ โปร่งใส : การใช้ AI ทำให้การตัดสินใจเชิงนโยบายอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลเชิงลึกที่แม่นยำและรอบด้าน ระบบวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) สามารถช่วยในการจัดสรรงบประมาณพัฒนาชนบท โดยพิจารณาจากดัชนีความยากจนหลายมิติ หรือระบบคาดการณ์ความเสี่ยงทุจริต (Fraud Detection) ที่ตรวจสอบรูปแบบการใช้งบประมาณที่ผิดปกติได้อย่างแม่นยำกว่า 90% นอกจากนี้ การผสานบล็อกเชนกับ AI ในระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ยังช่วยลดคดีทุจริตได้อย่างมีนัยสำคัญ สร้างความโปร่งใสและเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับประชาชน
- ยกระดับทักษะบุคลากรราชการยุคใหม่: ข้าราชการที่ทำงานร่วมกับ AI จะได้รับการพัฒนาทักษะด้าน Data Literacy และ Digital Thinking อย่างต่อเนื่อง จากการศึกษาของ NECTEC พบว่า 70% ของเจ้าหน้าที่ที่ใช้ระบบ AI มีความก้าวหน้าในตำแหน่งงานเร็วกว่ากลุ่มอื่น สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการพัฒนาทักษะใหม่ๆ เพื่อตอบรับการเปลี่ยนแปลงของโลกดิจิทัล
ข้อเสีย: เมื่อ AI ไม่ได้อยู่ในสายตา เสี่ยงต่อการล้าหลัง
- เสียเปรียบทางการแข่งขันในระดับประเทศ: ประเทศที่ภาครัฐไม่ปรับตัวใช้ AI จะมีประสิทธิภาพการทำงานที่ต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างเห็นได้ชัด รายงานจาก World Government Summit 2024 ชี้ว่าประเทศที่ใช้ AI ในภาครัฐมีดัชนีประสิทธิภาพสูงกว่ากลุ่มที่ไม่ใช้ถึง 2.3 เท่า ยกตัวอย่างสิงคโปร์ที่ลดเวลาดำเนินการด้านภาษีจาก 15 วันเหลือ 2 ชั่วโมงด้วยระบบ AI ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความได้เปรียบที่สำคัญ
- ความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลที่กว้างขึ้น: การไม่ใช้ AI ทำให้บริการสาธารณะมีคุณภาพด้อยกว่าภาคเอกชน เกิดปรากฏการณ์ “Two-Tier Service” ที่ประชาชนอาจต้องจ่ายค่าใช้จ่ายเพิ่มเพื่อเข้าถึงบริการที่ดีกว่าจากบริษัทเอกชน เช่นเดียวกับกรณีในฟิลิปปินส์ที่ระบบสาธารณสุขไม่มี AI ทำให้การรอคอยบริการฉุกเฉินสูงกว่ามาตรฐาน WHO ถึง 4 เท่า
- การตัดสินใจที่ผิดพลาดและล้าสมัย: การพึ่งพาข้อมูลที่ขาดความแม่นยำแทนระบบ AI จะส่งผลให้เกิดข้อผิดพลาดเชิงนโยบาย ยกตัวอย่างกรณีการจัดสรรน้ำชลประทานที่ไม่ใช้ระบบพยากรณ์อากาศอัจฉริยะ ทำให้เกิดความเสียหายกว่า 3,000 ล้านบาท และการศึกษาโดย TDRI พบว่าการตัดสินใจโดยไม่มี AI Support มีโอกาสผิดพลาดสูงกว่า 37%
- สูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจและภัยคุกคามด้านความมั่นคง: การไม่ใช้ AI ในภาครัฐส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเติบโตของ GDP โดยทุก 1% ที่ภาครัฐไม่ใช้ AI จะทำให้ GDP หายไปประมาณ 0.5% ต่อปี นอกจากนี้ การไม่ใช้ AI ในการตรวจสอบข้อมูลปลอม ทำให้ไทยติดอันดับ 5 ของโลกด้านการแพร่กระจายข่าวลวง และระบบ Cybersecurity ที่ไม่ใช้ Machine Learning ก็มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกโจมตี
บทสรุปและข้อเสนอแนะ : อนาคตราชการไทยกับ AI
การปฏิรูปภาครัฐด้วย AI จึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นความจำเป็นเร่งด่วน ข้าราชการที่ปรับตัวและเรียนรู้ที่จะใช้ AI จะกลายเป็นกำลังสำคัญที่เพิ่มศักยภาพการทำงานได้อย่างก้าวกระโดด ในทางกลับกัน การเพิกเฉยต่อเทคโนโลยีนี้จะส่งผลให้ประเทศไทยตกอยู่ในกับดักประเทศรายได้ปานกลางอย่างถาวร
ดังที่ ดร.ศักดิ์ เสกขุนทด กล่าวไว้ว่า “อนาคตของการบริการสาธารณะจะถูกกำหนดโดยข้าราชการที่รู้จักใช้ AI เป็นเครื่องมือ ไม่ใช่ถูกแทนที่โดย AI” การเปลี่ยนผ่านนี้จึงต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งการพัฒนาบุคลากร การปรับโครงสร้างองค์กร และการสร้างระบบนิเวศน์ข้อมูลที่เอื้อต่อการทำงานของระบบอัจฉริยะ โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนอย่างยั่งยืน