จากการสำรวจล่าสุดเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2025 พบว่าสื่อไทยมีการนำ AI มาใช้ในงานข่าวอย่างแพร่หลาย โดย 85% ใช้ AI ในการหาข้อมูลเบื้องต้นและรวบรวมข้อมูล 70% ใช้ช่วยถอดเทปและสรุปความ 55% ใช้ช่วยคิดประเด็น และ 45% ใช้ในการเขียน ทั้งนี้ นักข่าวไทยถึง 95% มีมุมมองเชิงบวกต่อ AI และมีเพียง 5% เท่านั้นที่มองในแง่ลบ
มุมมองของนักข่าวและนักวิชาการต่อ AI ในวงการสื่อ AI คือเครื่องมือ ไม่ใช่ผู้แทนที่
“ปัญญาประดิษฐ์คือเครื่องมือของมนุษย์” เป็นแนวคิดหลักที่นักข่าวและนักวิชาการด้านสื่อสารมวลชนย้ำเสมอ ศาสตราจารย์หลิวไห่หมิง จากคณะสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยฉงชิ่ง ให้ความเห็นว่า “เอไอสามารถช่วยลดภาระของผู้ประกาศข่าวในช่วงเวลาดึก หรือการรายงานเหตุการณ์ฉุกเฉินที่เกิดขึ้นตลอด 24 ชั่วโมง แต่ไม่ได้หมายความว่า AI จะสามารถแทนที่มนุษย์ได้ทั้งหมด”
รศ. ดร.วิไลวรรณ จงวิไลเกษม อาจารย์คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวในเสวนา “เสรีภาพสื่อ VS AI Surveillance : ผลกระทบ โอกาส และความท้าทาย” เมื่อวันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก (3 พฤษภาคม 2025) ว่า “ทุกคนมองว่า AI ช่วยลดต้นทุน ในวันที่ธุรกิจสื่อทั่วโลกย่ำแย่ หากไม่บาลานซ์ดี ๆ ระวังเฟกนิวส์”
ประโยชน์ของ AI ในงานข่าว
คุณโสพิส (ไม่ระบุนามสกุล) อ้างถึงผลสำรวจที่ชี้ว่า AI กำลังเข้ามาเสริมศักยภาพการทำงานในโลกสื่อสารยุคใหม่ ซึ่งช่วยลดเวลาการทำงานของนักข่าวลงถึง 20% นอกจากนี้ AI ยังมีบทบาทในการมอนิเตอร์คุณภาพของเนื้อหาข่าว ช่วยคัดกรองข่าวที่มีคุณภาพ ตรวจสอบข้อเท็จจริง และรับมือกับข่าวปลอม
การพัฒนาของ AI ไม่เพียงช่วยประหยัดเวลา แต่ยังทำให้สื่อสามารถมองเห็นเทรนด์ และมุ่งเน้นการวางแผนการนำเสนอข่าวที่มีความหลากหลายและลึกซึ้งมากขึ้น ตัวแทนจากสำนักข่าวท้องถิ่นเห็นว่าการใช้ AI ช่วยให้พวกเขามีเวลาสำหรับการทำข่าวต้นฉบับมากขึ้น ลดความเหนื่อยล้าในการทำงาน
ความน่าเชื่อถือและจริยธรรม
แม้ AI จะมีประโยชน์ แต่ก็มีความท้าทายที่ต้องระวัง โดยเฉพาะในเรื่องความน่าเชื่อถือของข้อมูล รศ. ดร.วิไลวรรณ เตือนว่า “ข้อดีของ AI ทำให้เราเข้าถึงข้อมูล ขณะเดียวกันก็ทำให้เราเข้าถึงข่าวปลอม โดยที่เราไม่รู้ตัว”
นางเลอปูลติเยร์ (ไม่ระบุชื่อจริง) ชี้ให้เห็นว่า “เนื้อหาที่สร้างโดย AI มีความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดความเข้าใจผิด กลายเป็นเครื่องมือเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือน และบ่อนทำลายความไว้วางใจที่ประชาชนมีต่อสื่อสารมวลชนท้องถิ่น”
ผลกระทบต่อวิชาชีพสื่อ
ศาสตราจารย์หลิวไห่หมิงกล่าวว่า “เอไอจะเข้ามาแทนที่คนบางส่วนแน่นอน โดยเฉพาะคนที่ไม่พัฒนาและไม่เรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ แต่เอไอจะไม่สามารถแทนที่นักข่าวที่มีทักษะสูง และสามารถทำงานในสถานการณ์ที่ซับซ้อนได้” เขายกตัวอย่างว่า “เอไอไม่สามารถเจาะข่าวแนวสืบสวนสอบสวนได้ เอไอไม่สามารถสัมภาษณ์แหล่งข่าวแบบเผชิญหน้า ไม่สามารถเข้าใจบริบททางอารมณ์ หรือการเล่าเรื่องที่จะส่งอิทธิพลเหนือผู้ชมได้”
รศ. ดร.วิไลวรรณ แสดงความกังวลว่า “วันนี้หลายองค์กรข่าวลดต้นทุน เอาพนักงานเก่าออก เอาเด็กรุ่นใหม่เข้ามา เน้นทักษะการเข้าถึง AI ทำกราฟิกได้ แต่ไม่มีองค์ความรู้งานข่าว ไม่รู้พื้นฐานของข่าวนั้นมาก่อน ระวังอาจกลายเป็นเหยื่อของ AI”
กรณีศึกษา: ผู้ประกาศข่าว AI
ปรากฏการณ์ผู้ประกาศข่าว AI เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการใช้ AI ในวงการสื่อ โดยเฉพาะในประเทศจีนที่มีการพัฒนาอย่างก้าวหน้า สถานีโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีน (CCTV) ได้เปิดตัว AI ผู้ประกาศข่าวที่จำลองเสียงและภาพของผู้ประกาศตัวจริงเพื่อรายงานข่าวสำคัญ
ข้อได้เปรียบของผู้ประกาศข่าว AI คือ “พูดอะไรก็ได้ ภาษาใดก็ได้ ทำงานได้ทั้งวันทั้งคืน ไม่บ่น ไม่มีค่าเทป” อย่างไรก็ตาม นันทิยา วรเพชรายุทธ ระบุในรายงานพิเศษว่า มีความเสี่ยงที่จะถูกนำไปใช้เพื่อรายงานข่าวปลอม เช่น กรณีที่เกิดขึ้นในประเทศเวเนซูเอลา ซึ่งพบเคสนำผู้ประกาศเอไอไปใช้ในการรายงานข่าวปลอมเพื่อโจมตีการเมืองฝ่ายตรงข้าม
การเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต
เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2025 กรรมการสภาการสื่อมวลชนฯ ได้เห็นชอบร่วมจัด Side-Event การประชุม Global Forum on the Ethics of AI 2025 ซึ่งยูเนสโกร่วมกับประเทศไทยจัดประชุมนานาชาติปลายเดือนมิถุนายน แสดงให้เห็นถึงความตระหนักในความสำคัญของจริยธรรมการใช้ AI ในวงการสื่อ
นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เตือนว่า หากใช้ AI ต้องตรวจสอบให้หนัก เพราะอาจเป็นเหยื่อของ AI ที่กุมอำนาจข่าวสารอยู่ สุดท้ายหากใช้มากเกินไปอาจกลายเป็น IO ได้
ในท้ายที่สุด สื่อมวลชนส่วนใหญ่มองว่า AI เป็นเครื่องมือสนับสนุนในการทำข่าว มากกว่าเทคโนโลยีที่จะมาแทนที่นักข่าว และความคาดหวังของนักข่าวและผู้บริหารต่อ AI มีผลต่อการกำหนดทิศทางอนาคตของวงการข่าวอย่างมาก