“เมื่อเก่งแล้วเจอเก่งกว่า” ถอดบทเรียนจากเด็กไทยใน MIT

โลกของการศึกษาเต็มไปด้วยการแข่งขัน เมื่อใครสักคนสามารถก้าวเข้าสู่มหาวิทยาลัยระดับโลกได้ ย่อมหมายถึงเขาเป็น “คนเก่ง” ในสาขาของตนเอง แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ เมื่อคนเก่งต้องเจอกับ “เก่งกว่า” ความรู้สึกของพวกเขาเป็นอย่างไร? นี่คือประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาในรายการ แท็กทีม EP.04 ทาง YouTube ซึ่งสัมภาษณ์ วริษ ตู้จินดา หรือ “เต๋า” นักศึกษาปี 2 สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ (Computer Science) จาก MIT (Massachusetts Institute of Technology)

เก่งแค่ไหน…ก็มีเก่งกว่า

เต๋าเล่าถึงประสบการณ์การเรียนในสถาบันชั้นนำของโลกว่า แม้เขาจะสามารถเข้า MIT ได้ แต่เขาก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็น “เด็กที่เก่งที่สุด” เพราะตลอดชีวิตการศึกษา เขาเคยพบเจอเพื่อนร่วมชั้นที่เก่งกว่าอยู่เสมอ

“MIT มีแนวคิดที่ทำให้เด็กไม่ต้องแข่งขันกันเอง แต่ต้องช่วยกันแข่งกับมหาวิทยาลัย” เต๋าอธิบายถึงวัฒนธรรมการเรียนของที่นี่ โดยเนื้อหาการเรียนถูกออกแบบให้ยากจนกระทั่งการทำงานคนเดียวแทบเป็นไปไม่ได้ นักศึกษาจึงต้องรวมกลุ่มกันช่วยกันแก้ปัญหา

Imposter Syndrome: เมื่อความเก่งกลายเป็นแรงกดดัน

ปรากฏการณ์ที่นักศึกษาชั้นนำหลายคนเผชิญคือ “Imposter Syndrome” หรือความรู้สึกว่า “ฉันไม่คู่ควรกับที่นี่” เต๋าอธิบายว่า นักศึกษาที่ MIT ส่วนใหญ่มักเป็น “ท็อปห้อง” หรือ “เด็กโอลิมปิก” จากประเทศของตน แต่เมื่อเข้าไปในสถาบันที่รวมคนเก่งระดับโลก พวกเขากลับต้องเผชิญกับความจริงที่ว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า

“หลายคนรู้สึกว่าตัวเองไม่เก่งพอเมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่น แต่เมื่อผ่านไป พวกเขาก็เริ่มเข้าใจว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องเป็นที่หนึ่งเสมอไป” เต๋ากล่าว

ระบบการศึกษาไทย VS ระบบการศึกษา MIT

เต๋าเปรียบเทียบการสอบเข้าระหว่างประเทศไทยกับ MIT ว่ามีความแตกต่างกันอย่างมาก

  • ประเทศไทย ใช้ระบบข้อสอบเป็นหลัก โดยคัดเลือกจากคะแนนสอบที่กำหนดไว้
  • MIT ใช้ระบบ “องค์รวม” (Holistic) ซึ่งพิจารณาทั้งคะแนนสอบ, เกรด, Portfolio และเรียงความ

“ข้อสอบไม่ได้วัดความฉลาด แต่วัดว่าเราเข้ากับระบบการสอบนั้นหรือไม่” เต๋ากล่าว พร้อมเสริมว่า ระบบของ MIT เปิดโอกาสให้คนที่มีความสามารถในด้านอื่น ๆ ได้รับการพิจารณามากขึ้น

“เก่ง” ไม่ได้หมายถึง “พูดไม่รู้เรื่อง”

อีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจในรายการคือ คำกล่าวที่ว่า “คนเก่งมักคุยไม่รู้เรื่อง” เต๋ามองว่า ประเด็นนี้ขึ้นอยู่กับการฝึกฝนทักษะการสื่อสาร เพราะบางคนอาจถนัดใช้ศัพท์เทคนิคเพื่อให้ข้อมูลแม่นยำ แต่กลับทำให้คนฟังไม่เข้าใจ

“คนเก่งที่สื่อสารได้ดี คือคนที่สามารถ ปิดฟิลเตอร์ของความแม่นยำ และกล้าที่จะตอบคำถามโดยสมมติฐานบางอย่าง” เต๋าอธิบาย

ใบรับรอง “โจรสลัด” และวิชาว่ายน้ำของ MIT

MIT เป็นมหาวิทยาลัยที่ขึ้นชื่อเรื่องนวัตกรรมทางเทคโนโลยี แต่สิ่งที่หลายคนอาจไม่รู้คือ นักศึกษาทุกคน ต้องว่ายน้ำผ่านจึงจะจบการศึกษาได้ และยังมีใบรับรอง “โจรสลัด” สำหรับผู้ที่เรียนครบ 4 วิชาด้านการต่อสู้ เช่น ยิงธนู, ว่ายน้ำ, ล่องเรือ และยิงปืน

“Matt Damon เคยได้รับใบรับรองนี้ตอนมาพูดในวันจบการศึกษา” เต๋าเล่าพร้อมเสียงหัวเราะ

วิทยากรระดับโลกที่ MIT

MIT ไม่ได้เป็นเพียงมหาวิทยาลัยที่มีการเรียนการสอนระดับสูง แต่ยังเป็นเวทีที่เชิญ วิทยากรระดับโลก มาพูดกับนักศึกษา เช่น

  • Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI ผู้สร้าง ChatGPT
  • Steve Jobs อดีตซีอีโอของ Apple
  • Gilbert Strang บิดาของพีชคณิตเชิงเส้น (Linear Algebra)

“ผมอยู่ในคลาสสุดท้ายที่ศาสตราจารย์ Gilbert Strang สอน ห้องแน่นมาก คนแห่กันมาฟัง” เต๋าเล่าถึงบรรยากาศการบรรยายครั้งสุดท้ายของบุคคลสำคัญด้านคณิตศาสตร์

ภาพเต๋าปี 2018 ช่วงเรียนมัธยมต้น ขึ้นเวที เคยเสนอนายกฯและรัฐบาล สร้างศูนย์รวมไอเดียคนรุ่นใหม่ รวมถึงปกป้องไอเดียที่เป็นทรัพย์สินทางปัญญานั้นๆไว้ด้วย เพราะเขาเชื่อว่าทุกไอเดียมีค่า เพียงแต่อาจจะขาดโอกาสในการเปลี่ยนมันให้เป็นความจริงที่จับต้องได้ ซึ่งผ่านไป 7 ปี ตอนนี้ เต๋าเรียน อยู่ MIT ปี 2

ระบบการศึกษาควรเริ่มเปลี่ยนจาก “คนจ้างงาน”

เมื่อถูกถามว่า หากสามารถเปลี่ยนระบบการศึกษาไทยได้ 1 อย่าง จะเปลี่ยนอะไร? เต๋าตอบว่า “ต้องเปลี่ยนที่คนจ้างงาน”

เต๋าอธิบายว่า ระบบการศึกษาถูกออกแบบมาเพื่อผลิตบุคลากรเข้าสู่ตลาดแรงงาน หากบริษัทหรือองค์กรต้องการคนที่มีความสามารถด้านความคิดสร้างสรรค์ (Initiative) และคิดเชิงวิเคราะห์ (Critical Thinking) ระบบการศึกษาก็จะต้องปรับเปลี่ยนเพื่อตอบสนองความต้องการนั้น

“ระบบการศึกษามีไว้เพื่อผลิตบุคลากรให้กับตลาดแรงงาน ถ้านายจ้างยังให้ค่ากับคนที่สอบเก่ง ระบบก็จะยังเน้นที่การสอบเก่งต่อไป”

เต๋าเสนอว่า หากเปลี่ยนความต้องการของตลาดแรงงาน เช่น การให้ความสำคัญกับ ทักษะนอกห้องเรียน, ความคิดสร้างสรรค์ หรือการแก้ปัญหา มากกว่าคะแนนสอบ ระบบการศึกษาจะค่อย ๆ ปรับตัวไปเองโดยธรรมชาติ

“เราต้องกำหนดก่อนว่าอยากได้คนแบบไหน แล้วออกแบบการศึกษาให้ตอบโจทย์นั้น ไม่ใช่แค่เปลี่ยนระบบการสอบอย่างเดียว”

แนวคิดนี้สะท้อนว่า “การศึกษา” ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยลำพัง แต่ต้องมีความร่วมมือจากทุกฝ่าย โดยเฉพาะ ภาคธุรกิจและภาครัฐ ที่เป็นผู้กำหนดมาตรฐานของตลาดแรงงาน

“หยุดเดินตามเส้นทางที่ถูกกำหนดไว้ แล้วคิดเยอะ ๆ”

อีกหนึ่งสิ่งที่เต๋าฝากไว้คือ “ให้คิดเยอะ ๆ” เพราะเขาเห็นว่า นักเรียนไทยจำนวนมากเดินตามเส้นทางที่ถูกกำหนดไว้โดยไม่ตั้งคำถาม

“คนส่วนใหญ่มักเดินตามเส้นทางที่ถูกกำหนดไว้โดยไม่ค่อยหยุดคิด แต่จริง ๆ แล้ว เราควรฝึกฝนทักษะในการคิดให้มากขึ้น ไม่ใช่แค่ในเรื่องของการเรียน แต่รวมถึงการใช้ชีวิตด้วย”

เต๋าเชื่อว่า การคิดเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ที่มนุษย์ควรฝึกฝน และการตั้งคำถามกับสิ่งรอบตัวอาจทำให้เราพบเจอทางเลือกใหม่ที่ดีกว่า

สรุปข้อฝากถึงการศึกษาไทยจากเต๋า

  1. อยากเปลี่ยนระบบการศึกษา ต้องเปลี่ยนที่คนจ้างงาน – ถ้านายจ้างให้ค่ากับทักษะมากกว่าคะแนนสอบ ระบบการศึกษาก็จะเปลี่ยนตาม
  2. ต้องกำหนดให้ชัดว่าอยากได้คนแบบไหน แล้วออกแบบการศึกษาให้ตอบโจทย์นั้น
  3. นักเรียนควรหยุดเดินตามเส้นทางที่ถูกกำหนดไว้ แล้วคิดให้มากขึ้น – ฝึกฝนทักษะการคิดวิเคราะห์และตั้งคำถามกับสิ่งรอบตัว

แนวคิดของเต๋าชี้ให้เห็นว่า ปัญหาการศึกษาไม่ใช่แค่เรื่องของโรงเรียนและนักเรียน แต่เกี่ยวข้องกับทั้งระบบ รวมถึง องค์กรและตลาดแรงงาน ที่มีอิทธิพลต่อทิศทางของการศึกษาในระยะยาว

บทสรุป

เรื่องราวของเต๋าเป็นตัวอย่างที่ดีของเด็กไทยที่สามารถแข่งขันในระดับโลกได้ และสะท้อนให้เห็นว่า “ความเก่ง” ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของคะแนนสอบ แต่ยังรวมถึง ความสามารถในการปรับตัว, การเรียนรู้ และการทำงานร่วมกับผู้อื่น

MIT อาจเป็นเพียงหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่รวมคนเก่งจากทั่วโลก แต่ในชีวิตจริง “เหนือฟ้ายังมีฟ้า” และสิ่งที่สำคัญกว่าการเป็นที่หนึ่งคือ การเข้าใจว่าเราสามารถเรียนรู้จากคนที่เก่งกว่าได้เสมอ

ติดตามชมรายการเต็มได้ที่: แท็กทีม EP.04 – YouTube

ThinkerFriend.com สังคมแห่งการแบ่งปัน เรื่องราวดีๆ โดยนักคิด นักเรียน และความรู้เรื่องราวที่เป็นประโยชน์ สร้างแรงบันดาลใจ ให้กับชาว ThinkerFriend ทุกคน

ยอดติดตามทุกช่องทางกว่า 50,000 follow up

สนใจติดต่อ

numsiam.pr@gmail.com