ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรที่ผ่านมา ช่วงตอบกระทู้ถามแยกเฉพาะ ทาง นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้กล่าวชี้แจงเกี่ยวกับปัญหามลพิษที่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรมในประเทศไทย ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สุขภาพของประชาชน และคุณภาพชีวิตในชุมชน โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบและยั่งยืน พร้อมเปิดตัวมาตรการเข้มข้นเพื่อควบคุมและป้องกันการกระทำผิด
มลพิษจากอุตสาหกรรม ปัญหาที่รอการแก้ไข
โรงงานอุตสาหกรรมหลายแห่งในประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการกระจุกตัวของโรงงาน เช่น จังหวัดสมุทรปราการและพื้นที่รอบกรุงเทพฯ ถูกระบุว่ามีการปล่อยมลพิษในรูปแบบต่างๆ อาทิ ควันพิษ น้ำเสีย และกากอุตสาหกรรม ซึ่งไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังก่อให้เกิดโรคภัยในชุมชน เช่น โรคทางเดินหายใจและโรคที่เกี่ยวข้องกับสารเคมี
เอกนัฏชี้ว่า มีข้อมูลยืนยันว่าบางโรงงานแอบปล่อยน้ำเสียในเวลากลางคืนหรือช่วงฝนตก เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ นอกจากนี้ ยังพบว่าระบบตรวจสอบที่ใช้ในปัจจุบันไม่สามารถรองรับจำนวนโรงงานทั้งหมดได้ เนื่องจากเจ้าหน้าที่มีจำนวนจำกัด
มาตรการเข้มข้น: บังคับใช้กฎหมายและเทคโนโลยี
เอกนัฏประกาศว่าจะดำเนินการอย่างเด็ดขาดกับโรงงานที่กระทำผิด ไม่ว่าจะเป็นโรงงานขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ พร้อมย้ำว่า “ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย” หากโรงงานใดฝ่าฝืนข้อกำหนด จะได้รับ “ใบแดง” โดยไม่มีการประนีประนอม
หนึ่งในมาตรการสำคัญคือการติดตั้งระบบตรวจสอบมลพิษแบบเรียลไทม์ (Real-Time Monitoring) ที่จะช่วยตรวจสอบการปล่อยมลพิษของโรงงานได้อย่างแม่นยำและโปร่งใส ข้อมูลจากระบบจะถูกส่งตรงมายังกระทรวงและเผยแพร่สู่สาธารณะ เพื่อให้ประชาชนสามารถติดตามและตรวจสอบได้
แอปพลิเคชัน “แจ้งอุต” ร้องปัญหา
นอกจากนี้ กระทรวงยังอยู่ระหว่างพัฒนาแอปพลิเคชัน “แจ้งอุต” เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการรายงานปัญหา และสามารถติดตามสถานะการแก้ไขได้ โดยคาดว่าจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนมกราคม
การออกกฎหมายใหม่: แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมยังได้กล่าวถึงการร่างกฎหมายใหม่ที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการขยะอุตสาหกรรม ซึ่งจะเป็นกฎหมายฉบับแรกของประเทศไทยในด้านนี้ โดยตั้งเป้าให้เกิดความชัดเจนและมีมาตรฐานในการจัดการกากอุตสาหกรรม
เอกนัฏ ได้ยกตัวอย่างประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีกฎหมายลักษณะนี้มากกว่า 10 ฉบับ ในขณะที่ประเทศไทยเพิ่งเริ่มต้น แต่กระทรวงตั้งใจที่จะเร่งรัดกระบวนการเพื่อให้ระบบการจัดการครบวงจรสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะเวลาอันสั้น
ปรับตัวตามเศรษฐกิจ: ย้ายฐานการผลิตอย่างเหมาะสม
เอกนัฏ ได้กล่าวถึงแนวทางการปรับตัวของโรงงานอุตสาหกรรมในประเทศไทย ซึ่งอาจต้องพิจารณาการย้ายฐานการผลิตไปยังพื้นที่ที่เหมาะสม เช่น เขตเศรษฐกิจพิเศษ (EEC) หรือพื้นที่ที่มีโครงสร้างพื้นฐานรองรับ
อย่างไรก็ตาม เขายืนยันว่าไม่ได้เป็นการบังคับย้าย แต่เป็นการส่งเสริมให้โรงงานปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ โดยคำนึงถึงประโยชน์ของทั้งโรงงานและชุมชนในพื้นที่
สร้างความรับผิดชอบและความโปร่งใสในภาคอุตสาหกรรม
รัฐมนตรีเน้นย้ำว่าความสำเร็จของการแก้ปัญหาไม่ได้ขึ้นอยู่กับกฎหมายหรือเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมาจากความรับผิดชอบของโรงงานที่ดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใสและคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
เอกนัฏ กล่าวว่า “กฎหมายไม่ได้มีไว้เพื่อทำลายธุรกิจที่สุจริต แต่เพื่อจัดการกับผู้กระทำผิดอย่างเข้มงวด” พร้อมแสดงความมุ่งมั่นที่จะสร้างระบบที่เป็นธรรมและส่งเสริมความเชื่อมั่นของประชาชนต่อภาคอุตสาหกรรม
อนาคตที่ดีกว่าด้วยความร่วมมือ
การชี้แจงของ เอกนัฏ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของกระทรวงอุตสาหกรรมในการแก้ไขปัญหามลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรมอย่างเป็นระบบ โดยเน้นการบังคับใช้กฎหมาย การพัฒนาเทคโนโลยี และการส่งเสริมความรับผิดชอบในภาคธุรกิจ
ด้วยการออกกฎหมายใหม่ การพัฒนาเทคโนโลยีที่ทันสมัย และการสร้างความโปร่งใส เชื่อว่าประเทศไทยจะสามารถลดผลกระทบจากมลพิษและสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมได้ในอนาคตอันใกล้
จริงจังกับการแก้ไขปัญหา
การทำงานแบบถึงลูกถึงคน และจริงจังในการแก้ไขปัญหาแบบนี้ ถูกใจประชาชน เมื่อมีโอกาสแล้ว จงใช้โอกาสนั้นเปลี่ยนแปลงสังคม และบ้านเมือง ชื่อ เอกนัฐ จะได้รับการสนับสนุนและถูกจดจำ ในฐานะเจ้ากระทรวงฯที่เข้ามาปฏิรูปและจัดระเบียบวงการอุตสาหกรรมให้เป็นไปในทิศทางที่ถูกต้องของโลกปัจจุบัน ประชาชนรอติดตามผลงาน

Piyapon pongkaew
บรรณาธิการ ThinkerFriend
New Media Scholar and Data Analyst: MEDIA AI
contact : numsiam.pr@gmail.com