Mark Zuckerberg ซีอีโอของ Meta ประกาศการเปลี่ยนแปลงนโยบายการกำกับดูแลเนื้อหาครั้งใหญ่สำหรับแพลตฟอร์ม Facebook, Instagram และ Threads
- ยกเลิกการใช้ผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริงจากภายนอก
- เปลี่ยนไปใช้ระบบ “Community Notes” ให้ผู้ใช้เพิ่มหมายเหตุหรือแก้ไขโพสต์ที่อาจทำให้เข้าใจผิดหรือเป็นเท็จ
- ผ่อนคลายข้อจำกัดในการโพสต์เกี่ยวกับหัวข้อที่อ่อนไหว เช่น การเมือง การตรวจคนเข้าเมือง และเพศสภาพ
- ย้ายทีมตรวจสอบเนื้อหาจากแคลิฟอร์เนียไปยังเท็กซัส
Zuckerberg กล่าวว่าการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นการ “กลับสู่รากฐานของการส่งเสริมเสรีภาพในการแสดงออก” แต่ยอมรับว่าอาจทำให้มี “เนื้อหาที่เป็นปัญหา” เพิ่มขึ้นบนแพลตฟอร์ม
การตัดสินใจนี้ได้รับการตอบรับในเชิงบวกจากประธานาธิบดีผู้ได้รับเลือกตั้ง Donald Trump และพันธมิตรฝ่ายอนุรักษ์นิยม ในขณะที่นักวิจัยด้านข้อมูลบิดเบือนและนักข่าวหลายคนแสดงความกังวล
การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของ Meta ในการปรับตัวเข้ากับการบริหารงานของ Trump ที่กำลังจะมาถึง และเป็นการยุติแนวทางที่บริษัทใช้มาตั้งแต่การเลือกตั้งปี 2559
สำหรับ Community Notes เป็นฟีเจอร์บนแพลตฟอร์มที่ facebook ที่จะนำมาใช้เหมือนกับ แพลตฟอร์ม X (เดิมคือ Twitter) ที่ช่วยในการตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้บริบทเพิ่มเติมสำหรับโพสต์ต่างๆ[1] ฟีเจอร์นี้เปิดโอกาสให้ผู้ใช้งานที่ได้รับสิทธิ์สามารถเพิ่มข้อมูลหรือคำอธิบายเพิ่มเติมใต้โพสต์ รูปภาพ หรือวิดีโอที่อาจมีข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรือทำให้เข้าใจผิด[2][4]
การทำงานของ Community Notes
- ผู้มีสิทธิ์เขียน Notes: เฉพาะกลุ่มผู้ใช้ที่เรียกว่า “Top Writers” เท่านั้นที่สามารถเขียน Notes ได้
- การตรวจสอบเนื้อหา : ครอบคลุมทั้งข้อความ รูปภาพ และวิดีโอ รวมถึงสามารถตรวจจับเนื้อหาที่สร้างหรือตัดต่อด้วย AI]
- การแสดงผล : Notes ที่ผ่านการอนุมัติจะปรากฏใต้โพสต์ต้นฉบับและจะแสดงทุกครั้งที่มีการแชร์โพสต์นั้นซ้ำ
ประโยชน์และการใช้งาน
- ต่อต้านข่าวปลอม: ช่วยในการระบุและให้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับข่าวปลอมหรือข้อมูลที่บิดเบือน
- ตรวจสอบโฆษณา: สามารถใช้เพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโฆษณาหรือการโปรโมตสินค้าที่อาจเป็นของปลอม
- ให้บริบทเพิ่มเติม: ช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจเนื้อหาได้ดีขึ้นโดยการเพิ่มข้อมูลหรือแหล่งอ้างอิงที่เกี่ยวข้อง
ความสำคัญและผลกระทบ
Community Notes ถือเป็นการจัดการเนื้อหาบนสื่อสังคมออนไลน์ โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการแพร่กระจายของข้อมูลที่ไม่ถูกต้องและเพิ่มความน่าเชื่อถือของข้อมูลบนแพลตฟอร์ม ระบบนี้ใช้การมีส่วนร่วมของชุมชนในการตรวจสอบและให้ข้อมูล ซึ่งอาจช่วยสร้างสภาพแวดล้อมออนไลน์ที่มีความรับผิดชอบและให้ข้อมูลที่ถูกต้องมากขึ้น
ทั้งนี้การที่ facebook ปรับเปลี่ยนนโยบายอาจทำให้เกิดการลงและผลิตคอนเทนน์มากขึ้น เนื่องจากไม่ต้องถูกควบคุม แต่ผลที่ตามมาคือภัยที่มาพร้อมกันคือช่องโหว่ที่จะเกิด fakenews , เนื้อหาอาชญากรรม , ภาพลามกอนาจาร , user อวตาล ,ที่อาจจะมากขึ้น ซึ่งบางประเทศอาจต้องพิจาณาว่าจะควบคุมหรือปล่อยให้ประชาชนใช้งาน และรับข้อมูลโดยขาดการตรวจสอบและเข้าถึงหรือไม่ นี่คือปัญหาในยุคที่โลกของสื่อไร้พรหมแดนที่ต้องมาวางแผนและวางมาตรการป้องกันหรือไม่นี่คือ คำถามตัวโตๆ ต้องติดตาม
