เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ในรายการ มองรัฐสภา ทางช่อง10 TPchannel เรื่องประเด็นร้อนเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าได้รับการอภิปรายอย่างเข้มข้น โดยมี นายแพทย์อลงกต มณีกาศ รองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษากฎหมายและมาตรการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย ร่วมให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์และแนวทางการกำกับดูแลปัญหานี้ในประเทศไทย
โดยนายแพทย์อลงกต ได้กล่าวถึงบุหรี่ไฟฟ้ากำลังกลายเป็นวิกฤตด้านสาธารณสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเยาวชน แม้ว่าในปัจจุบัน ประเทศไทยจะมีมาตรการห้ามจำหน่ายและนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้าอย่างชัดเจน แต่กลับพบว่ามีการลักลอบจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ และเข้าถึงเด็กนักเรียนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 ได้อย่างน่าตกใจ

เยาวชนเสี่ยง บุหรี่ไฟฟ้าแทรกซึมโรงเรียน
ในรายการมีการเปิดเผยข้อมูลว่า ปัจจุบันมีเยาวชนไทยที่ใช้บุหรี่ไฟฟ้าสูงถึง 400,000 – 700,000 คน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในโรงเรียนระดับประถมศึกษาที่พบว่ามีการใช้บุหรี่ไฟฟ้ากันมากขึ้น สาเหตุหลักเกิดจากการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้มีลักษณะน่ารัก สีสันสดใส และมีกลิ่นผลไม้ ทำให้เด็กๆ เข้าใจผิดว่าบุหรี่ไฟฟ้าไม่มีอันตราย
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า บุหรี่ไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์ที่ อาจเป็นทางผ่านไปสู่การใช้สารเสพติดร้ายแรง เนื่องจากมีการลักลอบผสมสารเสพติดบางชนิด เช่น เคตามีน หรือสาร CBD จากกัญชา ลงในน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าโดยที่ผู้สูบไม่รู้ตัว ซึ่งเป็นอันตรายต่อสมองและสุขภาพของเยาวชนอย่างมาก

“ระบบส่วย” อุปสรรคการบังคับใช้กฎหมาย
แม้ว่าประเทศไทยจะมีมาตรการห้ามจำหน่ายและนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้า แต่กลับพบว่ามีการลักลอบนำเข้าผ่านช่องทางที่ไม่ถูกต้อง โดยมี “ระบบส่วย” เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้บุหรี่ไฟฟ้ายังคงแพร่ระบาดในตลาดมืด รายงานยังระบุว่า มีเจ้าหน้าที่ของรัฐบางส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องกับกระบวนการนี้ ทำให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปได้ยาก
อีกปัญหาสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมาคือ “การขายบุหรี่ไฟฟ้าอย่างโจ่งแจ้ง” ในพื้นที่กรุงเทพฯ มีการเปิดขายผ่านบูธเล็กๆ ในย่านเศรษฐกิจและแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งลูกค้าสามารถเลือกสินค้าได้จากภาพตัวอย่าง เมื่อเลือกได้แล้ว ผู้ขายจะเดินไปหยิบสินค้าจากแหล่งซ่อนและนำมาส่งให้ตรงจุดนัดหมาย
เส้นทางกฎหมาย: บนดินหรือแบนถาวร?
คณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษากฎหมายเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า ได้ศึกษาแนวทางออกเป็น 3 แนวทางหลัก ได้แก่
- คงมาตรการแบนบุหรี่ไฟฟ้า ห้ามนำเข้าและจำหน่ายเด็ดขาด
- อนุญาตเฉพาะบางประเภท เช่น ระบบเผาไหม้แบบอุ่น ซึ่งเยาวชนเข้าถึงได้ยาก
- ทำให้ถูกกฎหมายทั้งหมด ควบคุมโดยรัฐและเก็บภาษี
ข้อถกเถียงหลักอยู่ที่ การควบคุมและการบังคับใช้กฎหมาย ฝ่ายที่สนับสนุนให้บุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมายมองว่า หากรัฐสามารถกำกับดูแลอย่างเข้มงวด เช่น จำกัดอายุผู้ซื้อ จัดเก็บภาษี และควบคุมคุณภาพน้ำยา อาจช่วยลดปัญหาการลักลอบนำเข้าและแก้ปัญหาการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในเด็กได้
ขณะที่ กลุ่มแพทย์และนักรณรงค์ด้านสุขภาพ คัดค้านแนวคิดนี้โดยมองว่า หากบุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมาย จะยิ่งทำให้การใช้ในหมู่เยาวชนแพร่หลายมากขึ้น และก่อให้เกิดผลกระทบด้านสุขภาพในระยะยาว

รัฐบาลต้องตัดสินใจ
ขณะนี้ คณะกรรมาธิการได้จัดทำรายงานศึกษาความเป็นไปได้เกี่ยวกับกฎหมายบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งมีความยาวกว่า 400 หน้า และเตรียมนำเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรภายในสัปดาห์หน้า โดยจะมีการอภิปรายเกี่ยวกับข้อเสนอทางกฎหมายทั้ง 3 แนวทาง เพื่อให้สมาชิกสภาฯ ได้ร่วมพิจารณา
แม้ว่าการศึกษานี้ยังไม่ได้มีผลทางกฎหมายโดยตรง แต่ข้อสังเกตที่ได้จากคณะกรรมาธิการจะส่งต่อไปยังฝ่ายบริหาร ซึ่งรัฐบาลสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการออกมาตรการควบคุมต่อไป
สังคมต้องร่วมกันเฝ้าระวัง
ปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของกฎหมายเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับ บทบาทของผู้ปกครอง โรงเรียน และสังคม ในการป้องกันเยาวชนไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของการตลาดบุหรี่ไฟฟ้า ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า การให้ความรู้และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการแก้ไขปัญหานี้
ประเทศไทยกำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญของการกำกับดูแลบุหรี่ไฟฟ้า คำถามคือ เราจะเลือกแบนอย่างเด็ดขาด หรือทำให้ถูกกฎหมายและกำกับดูแลให้เหมาะสม?
ผลการพิจารณาของรัฐสภาจะเป็นตัวชี้ขาดอนาคตของบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย และเป็นบททดสอบสำคัญว่ารัฐบาลจะสามารถควบคุมปัญหานี้ได้จริงหรือไม่

Piyapon pongkaew
บรรณาธิการ / คอลัมนิสต์ ThinkerFriend
New Media Scholar and Data Analyst: MEDIA AI
contact : numsiam.pr@gmail.com