DeepSeek AI สตาร์ทอัพด้านปัญญาประดิษฐ์จากจีน ได้กลายเป็นผู้เล่นสำคัญในเวที AI ระดับโลก ท้าทายความเป็นผู้นำของยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีจากสหรัฐฯ อย่าง OpenAI และก่อให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการแข่งขันทางเทคโนโลยีระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่ทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งบางคนเปรียบเทียบสถานการณ์นี้กับ “สงครามเย็นด้าน AI” ครั้งใหม่
ความก้าวหน้าของ DeepSeek
DeepSeek ได้เปิดตัวโมเดล AI ล่าสุดชื่อ R1 หรือ DeepSeek-R1-Zero ซึ่งได้รับการยกย่องในด้านประสิทธิภาพและต้นทุนที่ต่ำกว่าโมเดลจากฝั่งสหรัฐฯ โดยโมเดลนี้สามารถพัฒนาได้ด้วยการใช้ทรัพยากรชิปจำนวนน้อยและค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่าอย่างมาก—โดยมีรายงานว่าการฝึกโมเดลใช้เงินไม่ถึง 6 ล้านดอลลาร์ เทียบกับหลายร้อยล้านดอลลาร์ที่บริษัทในสหรัฐฯ อย่าง OpenAI ใช้ นอกจากนี้ DeepSeek ยังใช้เทคนิคการเรียนรู้แบบเสริมกำลัง (reinforcement learning) โดยไม่ต้องพึ่งการปรับแต่งข้อมูลแบบกำกับ (supervised fine-tuning) ซึ่งช่วยเพิ่มความสามารถในการให้เหตุผลและลดการพึ่งพาฮาร์ดแวร์ขั้นสูง
นอกจากนี้ DeepSeek ยังเลือกที่จะเปิดเผยโค้ดของโมเดลให้เป็นแบบโอเพ่นซอร์ส ซึ่งแตกต่างจากคู่แข่งอย่าง OpenAI ที่เน้นการเก็บข้อมูลแบบปิด การตัดสินใจนี้อาจช่วยขยายโอกาสในการพัฒนา AI ทั่วโลก แต่ก็สร้างความกังวลเกี่ยวกับอิทธิพลของจีนที่อาจแฝงอยู่ในแอปพลิเคชันที่พัฒนาบนแพลตฟอร์มของ DeepSeek
ผลกระทบต่อความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีของสหรัฐฯ
ความก้าวหน้าของ DeepSeek ได้สร้างแรงกระเพื่อมต่อภาพลักษณ์ของความเป็นผู้นำด้าน AI ของสหรัฐฯ นักวิเคราะห์ระบุว่าช่องว่างทางเทคโนโลยีระหว่างจีนและสหรัฐฯ แคบลงอย่างรวดเร็ว จากเดิมที่ห่างกัน 18 เดือน เหลือเพียง 6 เดือน ซึ่งคล้ายกับเหตุการณ์ “Sputnik Moment” ในช่วงสงครามเย็น ที่ทำให้ผู้นำสหรัฐฯ ต้องเร่งดำเนินการ
ในขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ได้ริเริ่มโครงการ Stargate AI ซึ่งเป็นโครงการมูลค่า 500 พันล้านดอลลาร์ โดยร่วมมือกับ OpenAI และบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำอื่น ๆ เพื่อรักษาความได้เปรียบทางนวัตกรรม อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของ DeepSeek ในการพัฒนาโมเดลที่มีต้นทุนต่ำ ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับความยั่งยืนของกลยุทธ์ที่ใช้ต้นทุนสูงของบริษัทในสหรัฐฯ
ประเด็นทางภูมิรัฐศาสตร์และความมั่นคง
การเติบโตของ DeepSeek ยังส่งผลต่อประเด็นด้านความมั่นคงแห่งชาติ ความก้าวหน้าของบริษัทนี้อาจช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางทหารของจีน เช่น การตัดสินใจที่รวดเร็วขึ้นและการรับรู้สถานการณ์ที่ดีขึ้นสำหรับกองทัพปลดปล่อยประชาชน (PLA) ซึ่งอาจทำให้จีนได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ในกรณีเกิดความขัดแย้ง โดยเฉพาะในภูมิภาคไต้หวัน กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ได้แสดงความกังวลว่าความก้าวหน้าด้าน AI ของจีนอาจแซงหน้าการใช้งานทางทหารของสหรัฐฯ
นอกจากนี้ การที่ DeepSeek ใช้พื้นที่จัดเก็บข้อมูลในจีนยังสร้างข้อกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว โดยเฉพาะจากผู้ใช้งานต่างชาติที่เกรงว่าจะถูกเฝ้าระวังหรือข้อมูลถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดโดยรัฐบาลจีน
ผลกระทบระดับโลก
ความสำเร็จของ DeepSeek สะท้อนถึงเป้าหมายใหญ่ของจีนที่จะเป็นผู้นำด้าน AI ภายในปี 2030 ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากการลงทุนมหาศาลและนโยบายของรัฐบาล เช่น แผนพัฒนา AI รุ่นใหม่ นอกจากนี้ ความสามารถในการแข่งขันระดับโลกของบริษัทนี้ยังแสดงให้เห็นถึงบทบาทที่เพิ่มขึ้นของจีนในการกำหนดอนาคตของเทคโนโลยี
อย่างไรก็ตาม แม้ DeepSeek จะมีจุดเด่นในด้านภาษาแมนดารินและแอปพลิเคชันเฉพาะทาง เช่น การวินิจฉัยโรคและการพยากรณ์ตลาดหุ้น แต่ข้อจำกัดในการรองรับภาษาที่ไม่แพร่หลายยังทำให้บริษัทมีจุดอ่อนเมื่อเทียบกับคู่แข่งตะวันตกอย่าง ChatGPT
บทสรุป
การปรากฏตัวของ DeepSeek เป็นสัญญาณสำคัญในสนามแข่งขัน AI ระดับโลก ท้าทายความเป็นผู้นำของสหรัฐฯ พร้อมทั้งแสดงถึงศักยภาพทางเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้นของจีน การแข่งขันนี้สะท้อนถึงความจำเป็นในการสร้างนวัตกรรม การลงทุนเชิงกลยุทธ์ และความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อรับมือกับความซับซ้อนในภูมิทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะนำไปสู่ความก้าวหน้าครั้งใหญ่หรือเพิ่มความแตกแยกระหว่างประเทศต่าง ๆ ยังคงต้องติดตามต่อไป

Piyapon pongkaew
บรรณาธิการ ThinkerFriend
New Media Scholar and Data Analyst: MEDIA AI
contact : numsiam.pr@gmail.com