Your cart is currently empty!
Author: Thinker Friend

การศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญวุฒิสภาเกี่ยวกับโครงการ “สถานบันเทิงครบวงจร” หรือ Entertainment Complex กำลังเป็นประเด็นร้อนแรง หลังพบข้อกังวลอย่างหนักเกี่ยวกับผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเสี่ยงด้านการฟอกเงินและอาชญากรรมที่อาจตามมา หากมีการอนุญาตให้มีบ่อนการพนันถูกกฎหมายในประเทศไทย นายนรเศรษฐ์ ปรัชญากร สมาชิกวุฒิสภาและกรรมาธิการฯ เปิดเผยในรายการ “กรรมาธิการเพื่อประชาชน” ซึ่งออกอากาศเมื่อ วันเสาร์ที่ 5 กรกฎาคม 2568 เวลา 09.15 – 10.00 น. ว่า การศึกษาโครงการดังกล่าวแบ่งออกเป็น 3 ด้านหลัก ได้แก่ กฎหมาย

เมื่อเทคโนโลยี AI เปลี่ยนโฉมหน้าแวดวงหนังสือและห้องสมุดทั่วโลก ลองนึกภาพว่าคุณเดินเข้าไปในห้องสมุดแห่งหนึ่ง แทนที่จะเดินไปหาบรรณารักษ์เพื่อสอบถามหนังสือที่ต้องการ คุณเพียงแค่เปิดแอปพลิเคชันแล้วพิมพ์คำถาม “หนังสือเกี่ยวกับจิตวิทยาเด็กสำหรับผู้ปกครองมือใหม่” ในทันใด ระบบปัญญาประดิษฐ์ก็แนะนำหนังสือที่ตรงกับความต้องการของคุณพร้อมทั้งสรุปเนื้อหาสั้นๆ และบอกตำแหน่งที่ตั้งของหนังสือด้วย นี่ไม่ใช่เรื่องในอนาคต แต่เป็นความจริงที่เกิดขึ้นอยู่ในห้องสมุดทั่วโลกในวันนี้ การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของห้องสมุดไทย ในประเทศไทย การปฏิวัติแห่งนี้เริ่มขึ้นแล้วในหลายแห่ง ห้องสมุดชั้นนำอย่าง NSTDA Library ได้พัฒนาระบบ AI Library QA System ที่ใช้เทคโนโลยี Natural Language Processing (NLP) เพื่อทำความเข้าใจคำถามของผู้ใช้และให้คำตอบที่ตรงจุดมากขึ้น สิ่งที่น่าทึ่งคือการเปิดตัว

ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารหลั่งไหลอย่างรวดเร็ว รายการ “สายด่วนรัฐสภา” ทางสถานีวิทยุและโทรทัศน์รัฐสภา (TPTV10) และวิทยุรัฐสภา FM 87.5 MHz พร้อมเครือข่าย 14 แห่งในส่วนภูมิภาค และ AM 1071 KHz ยังคงยืนหยัดทำหน้าที่เป็นสื่อภาครัฐในการให้ความรู้และเป็นที่พึ่งด้านกฎหมายที่ซับซ้อนและใกล้ตัวประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันและสิทธิสวัสดิการของรัฐ รายการ “สายด่วนรัฐสภา” ดำเนินรายการโดยคุณอานันท์ จันทร์ศรี ออกอากาศสดทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 13.05 น. เป็นต้นไป รูปแบบรายการแบ่งเป็นสองช่วงหลัก เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนได้คลายข้อสงสัยและรับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ เมื่อวันที่

นักวิชาการสื่อใหม่จี้ผู้บริหารจัดทัพ “ไอที-ครีเอทีฟ” ใหม่ ชี้โครงสร้างอำนาจที่ผิดพลาดทำนวัตกรรมสะดุด-เสี่ยงหายนะทางกฎหมาย แนะใช้โมเดล “ไอทีคือผู้สนับสนุน” วัดผลจากความสำเร็จของฝ่ายคอนเทนต์ เพื่อชัยชนะในสมรภูมิข่าว เสียงเรียกร้องจากนักวิชาการสื่อใหม่ได้ส่งสัญญาณเตือนภัยถึงอาการป่วยเรื้อรังที่กัดกินองค์กรสื่อยุคดิจิทัล เมื่อความขัดแย้งระหว่าง “เครื่องยนต์” คือฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอที) และ “นักเล่าเรื่อง” คือฝ่ายคอนเทนต์และครีเอทีฟ ได้กลายเป็นอุปสรรคสำคัญที่ฉุดรั้งการเติบโตขององค์กร ไม่ใช่เพียงแค่ความไม่สะดวกในการทำงานอีกต่อไป แต่เป็นต้นตอของนวัตกรรมที่หยุดชะงัก การลงทุนที่สูญเปล่า และที่น่ากังวลที่สุด คือความเสี่ยงทางกฎหมายที่อาจนำไปสู่หายนะ รายงานเชิงลึกฉบับล่าสุดได้ชำแหละรอยร้าวที่ถ่างกว้างขึ้นทุกวันในห้องข่าวดิจิทัล ชี้ให้เห็นว่าการปล่อยให้ฝ่ายไอที ซึ่งมีวัฒนธรรมที่เน้นความมั่นคงและปลอดภัย มีอำนาจตัดสินใจเลือกเครื่องมือหรือกำหนดกระบวนการทำงานของฝ่ายสร้างสรรค์ที่ต้องการความเร็วและความคล่องตัว ถือเป็น “สูตรสำเร็จของความล้มเหลว” เส้นแบ่งที่เลือนลาง สู่ความเสี่ยงทางกฎหมาย

การปรับโครงสร้างรัฐหรือหน่วยงานให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงจากเทคโนโลยี AI จำเป็นต้องดำเนินการอย่างเป็นระบบในหลายมิติ ทั้งด้านโครงสร้างองค์กร กระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง การลงทุนกับบุคลากร การเพิ่มสวัสดิการ และการสร้างตำแหน่งงานใหม่ที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี 1. การปรับโครงสร้างองค์กรและกระบวนการทำงาน 2. การจัดซื้อจัดจ้างและลงทุนด้านเทคโนโลยี 3. การลงทุนกับบุคลากรและการเพิ่มสวัสดิการ 4. การบริหารการเปลี่ยนแปลง (Change Management) 5. การกำกับดูแลและจริยธรรม สรุปตำแหน่งสำคัญที่ควรเพิ่มหรือปรับในยุค AI ตำแหน่ง/บทบาทใหม่ หน้าที่หลัก Chief AI Officer (CAIO) วางกลยุทธ์และกำกับดูแลโครงการ AI

การนำ AI มาใช้ในระบบราชการไทยในปัจจุบัน สามารถแบ่งกลุ่มผู้ใช้ข้าราชการออกเป็นหลายระดับและประเภท ตามลักษณะงานและบทบาทหน้าที่ ดังนี้ 1. แบ่งตามระดับการใช้งานและบทบาท ระดับ/กลุ่มข้าราชการ ลักษณะการใช้ AI ตัวอย่าง AI ที่ใช้ 1. ผู้บริหารระดับสูง (Executives) ใช้ AI เพื่อวางนโยบาย, ตัดสินใจเชิงกลยุทธ์, วิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) เพื่อกำหนดทิศทางองค์กร ระบบวิเคราะห์ข้อมูล, Dashboard, Generative AI สำหรับสรุปข้อมูล

“ท็อป-จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา” ซีอีโอแห่ง Bitkub ฉายภาพอนาคตอันใกล้ที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงโลกอย่างสิ้นเชิงภายในปี 2030 โดยคาดการณ์ว่า AI จะฉลาดกว่ามนุษย์ที่ฉลาดที่สุดในโลก นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคม เศรษฐกิจ และการจ้างงานครั้งประวัติศาสตร์ พร้อมเตือนว่า “คนจะตกงานเยอะมาก” หากไม่ปรับตัว และชี้ว่าทางรอดเดียวคือการพัฒนา “ทักษะด้านมนุษย์” ที่ AI ไม่สามารถเลียนแบบได้ โลกที่ขับเคลื่อนด้วย AI และหุ่นยนต์ นายจิรายุสคาดการณ์ว่า ภายใน 5 ปีข้างหน้า การเปลี่ยนแปลงจะรุนแรงยิ่งกว่า

ความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังสร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ในแวดวงสื่อสารมวลชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบวิชาชีพที่ใช้ “เสียง” เป็นเครื่องมือหลักอย่างผู้ประกาศข่าว นักพากย์ และดีเจรายการวิทยุ-โทรทัศน์ ที่กำลังเผชิญกับความหวั่นวิตกอย่างหนักต่ออนาคตทางอาชีพ หลัง AI แสดงศักยภาพในการเข้ามาทดแทนงานมนุษย์ได้จริง จนเกิดคำถามสำคัญว่า “มนุษย์” จะมีที่ยืนในสมรภูมินี้ต่อไปได้อย่างไร เสียงสังเคราะห์เทียบชั้นมนุษย์-ต้นทุนต่ำ คือจุดเปลี่ยน สาเหตุสำคัญที่สร้างความหวาดหวั่นในหมู่คนทำงานสื่อ คือความสามารถของ AI ในปัจจุบันที่สามารถ “โคลนเสียง” มนุษย์ได้ใกล้เคียงธรรมชาติเกือบ 100% จนผู้ฟังแทบไม่สามารถแยกได้ว่าเป็นเสียงจริงหรือเสียงสังเคราะห์ ส่งผลโดยตรงต่อต้นทุนการผลิตที่ลดลงอย่างมหาศาลเมื่อเทียบกับการจ้างมนุษย์ ประกอบกับความสามารถในการทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีวันหยุด

รัฐสภา – เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 68 ที่ผ่านมา ที่อาคารรัฐสภา สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จัดโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “การเสริมสร้างองค์ความรู้ด้านต่างประเทศเพื่อเตรียมความพร้อมรับมือความท้าทายระดับสากล” ติวเข้มบุคลากรรับมือโลกยุคดิจิทัล โดยมีนางสาวสตีจิตร ไตรพิบลูย์สุข รองเลขาธิการสภาฯ พร้อมด้วยผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ด้านวิเทศสัมพันธ์เข้าร่วมอย่างคับคั่ง ด้าน สว. ผู้คร่ำหวอดในเวทีโลก ชี้ AI คือ “ปัจจัยที่ 5” ใครไม่ใช้ถือว่าตกขบวน จี้เจ้าหน้าที่ต้องปรับตัว-แม่นข้อมูล เพราะทุกคำพูดคือภาพลักษณ์ประเทศไทย ว่าที่ร้อยตำรวจตรีอาพัทธ์ สุขะนันท์ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร

เผชิญวิกฤตประชากร-แรงงาน สู่ยุทธศาสตร์พลิกโลกอุตสาหกรรม ตั้งเป้าผลิตมวลรวมปี 2025 ครองตลาดเบ็ดเสร็จภายในปี 2027 ท่ามกลางสายตาชาวโลกที่จับจ้อง จีนกำลังเดินหน้าเต็มกำลังในโครงการพัฒนา “หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์” หรือหุ่นยนต์เสมือนมนุษย์ ซึ่งไม่ใช่เป็นเพียงการแสดงศักยภาพทางเทคโนโลยีล้ำหน้า แต่คือ “ยุทธศาสตร์ชาติ” ครั้งสำคัญที่ถูกวางหมากไว้เพื่อแก้เกมวิกฤตประชากรที่กำลังกัดกินเศรษฐกิจ และปูทางสู่การเป็นเจ้าแห่งยุคหุ่นยนต์ ที่จะเข้ามาแทนที่มนุษย์ในทุกสมรภูมิ ตั้งแต่โรงงานอุตสาหกรรมไปจนถึงชีวิตประจำวัน วิกฤตแรงงาน จุดชนวนแผนปฏิวัติ สาเหตุหลักที่ผลักดันให้จีนต้องเดิมพันอนาคตไว้กับหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ มาจากวิกฤตประชากรที่รุนแรงอันเป็นผลพวงจากนโยบายลูกคนเดียวในอดีต กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่า ภายในปี 2030 ประชากรวัยทำงานของจีนจะหายไปเกือบร้อยล้านคน เทียบเท่ากับประชากรทั้งประเทศเวียดนาม และภายในปี 2050
Twenty Twenty-Five
email@example.com
+1 555 349 1806