ในห้วงยามที่กีฬาทั่วโลกกำลังล้มลุกคลุกคลาน ลุมพินีก็เช่นกัน… แต่การลุกขึ้นครั้งนี้เป็นการลุกขึ้นเพื่อเดินไปอย่างมีทิศทาง
ท่ามกลางบริบทที่ผู้คนเปลี่ยนไป สนามมวยแห่งนี้กำลังเรียนรู้บทเรียนจากสเตเดียมยักษ์ทั่วโลก ผสมผสาน ‘มรดก’ เข้ากับ ‘นวัตกรรม’ เพื่อช่วงชิงชัยชนะทางธุรกิจอีกครั้ง
ไม่มีใครปฏิเสธว่าวงการกีฬาโลกกำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายร่วมกัน ทั้งรายได้ที่ลดฮวบ ผู้ชมที่เบาบาง และการรุกคืบของความบันเทิงในโลกดิจิทัล บทเรียนจากเวทีโลกสอนเราว่า “การล้มไม่ใช่จุดจบ หากแต่เป็นจุดเริ่มต้นของการปรับตัว”

เมื่อมองไปยังต่างประเทศ สนามกีฬาและเวทีมวยที่ยืนหยัดได้ล้วนมาจากการ “คิดนอกกรอบ” สังเวียนเบสบอลในอเมริกาที่เคยขาดทุนได้นำทีมวิเคราะห์เข้ามาศึกษาอย่างละเอียด พบว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ทีม แต่อยู่ที่สนามไม่ตอบโจทย์ความต้องการของแฟนบอลยุคใหม่ พวกเขาจึงปรับปรุงสนามให้เป็นมิตร สร้างบรรยากาศที่อบอุ่น และเพิ่มช่องทางรายได้จากบริการเสริม ขณะที่ซาอุดีอาระเบีย เทศกาล Riyadh Season พลิกโฉมการจัดมวยเป็น “ประสบการณ์ระดับพรีเมียม” ผสมผสานการท่องเที่ยวและความบันเทิง จนสร้างเม็ดเงินมหาศาล และเป็นแรงบันดาลใจให้เวทีอื่น ๆ หันมาใช้กลยุทธ์ “ครบวงจร”

เมื่อหันกลับมามอง สนามมวยเวทีลุมพินี สิ่งที่เราเห็นคือความได้เปรียบที่ไม่มีใครเทียบได้ – “แบรนด์ระดับโลก” ที่สั่งสมมากว่า ๗๐ ปี นับตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๙ ลุมพินีไม่ได้เป็นแค่สนามมวย แต่เป็นสัญลักษณ์ของมวยไทยที่นักมวยทั่วโลกใฝ่ฝัน เป็นเวทีที่สร้างแชมป์โลกระดับตำนาน แม้สนามเดิมจะปิดตัว และเคยเผชิญความท้าทายในการดึงผู้ชมกลับมาในสนามใหม่ แต่ปัจจุบัน ลุมพินีได้ ฟื้นคืนชีพอย่างน่าทึ่ง ภายใต้การบริหารจัดการที่เน้นความเป็นมืออาชีพ และการร่วมมือกับโปรโมเตอร์ระดับโลก เช่น ONE Championship และ Fairtex Fight จนผู้ชมกลับมาคึกคักอีกครั้ง จุดแข็งของลุมพินีจึงไม่ได้มีแค่ความขลัง แต่ยังรวมถึง โรงเรียนมวยลุมพินี ที่มีอุปกรณ์ครบครัน และการจัดการโดยกองทัพไทยที่ทำให้มีระบบระเบียบที่ชัดเจน
การจะทำให้ลุมพินีกลับไปเหมือนในอดีตนั้น “ไม่ใช่เรื่องง่าย” นี่คือความท้าทายที่แท้จริง เพราะ บริบท สภาพแวดล้อม และวัฒนธรรมการเข้าชมมวยได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง แฟนมวยจำนวนมากเปลี่ยนไปเสพความบันเทิงในโลกดิจิทัล การเข้าชมในสนามกลายเป็นเรื่องรอง ขณะที่ผู้ชมกลุ่มหลักได้กลายเป็น นักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่แสวงหาประสบการณ์เชิงวัฒนธรรม และ แฟนมวยรุ่นใหม่ ที่ต้องการการนำเสนอที่น่าตื่นเต้น ดังนั้น สิ่งที่ดีที่สุดคือการพัฒนาจุดเด่นที่มี และเสริมสิ่งที่ควรพัฒนาต่อยอด การจะทำลุมพินีในยุคใหม่ และแตกต่างจากเดิม จึงเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างยิ่ง
ภายใต้การบริหารยุคใหม่ หากนำบทเรียนจากต่างประเทศมาประยุกต์ใช้ ลุมพินีสามารถพัฒนาได้หลายแนวทาง โดยเน้นที่การ “สร้างประสบการณ์” มากกว่าแค่การแข่งขัน สร้างประสบการณ์พรีเมียมหลายชั้น ไม่ใช่แค่ที่นั่ง VIP แต่คือการสร้างโซนพิเศษหลากหลายรูปแบบ เพื่อให้ผู้ชมทุกระดับรู้สึกว่าได้รับการดูแลเป็นพิเศษ
แคมเปญ ดูมวยไทย ได้เรียนมวยฟรี !
เชื่อมโยงกับ Soft Power และการท่องเที่ยว: สร้างแพ็กเกจ “Lumpinee Experience” ร่วมกับโรงแรม เช่น “ดูมวย ๑ คืน + เรียนมวยฟรีหรือลดราคา 50% ” ตอบรับนโยบายรัฐบาลที่ผลักดันมวยไทยเป็น Soft Power ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ ใช้เทคโนโลยีเพิ่มคุณค่า: ติดตั้งจอภาพขนาดใหญ่ แสดง สถิติสด และข้อมูลนักมวยแบบเรียลไทม์ พัฒนาระบบจองออนไลน์ที่รองรับหลายภาษา สร้างรายได้ตลอดปี เปิดพื้นที่ให้เช่าสำหรับอีเวนต์องค์กร จัดทัวร์ชมสนามและพิพิธภัณฑ์มวยไทยในวันที่ไม่มีการแข่งขัน
การปรับโมเดลธุรกิจถือเป็นเรื่องปกติ ในโลกที่ทุกอย่างหมุนไปอย่างรวดเร็ว การที่สนามมวยระดับตำนานจะต้องหันไปพึ่งพาการสร้างรายได้จากบริการเสริม และการขายประสบการณ์ ถือเป็นความท้าทายที่ต้องก้าวผ่าน นักลงทุนและพันธมิตรทางธุรกิจทั่วโลกกำลัง จับตาดูการขยับตัวของลุมพินีว่าจะไปในทิศทางใด เพราะหากทีมงานชุดใหม่สามารถนำมรดกเก่าแก่ ผสมผสานกับนวัตกรรมใหม่ และนำเสนอ “วิสัยทัศน์” ที่ชัดเจนในการเป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมมวยไทยระดับโลกที่จับต้องได้ พวกเขาย่อมพร้อมที่จะเข้ามาร่วมลงทุน
เงินอยู่ในอากาศ คำนี้ไม่เกินจริง
การทำอะไรแบบเดิมก็อาจจะได้แบบเดิม แต่ถ้ากล้าที่จะเปลี่ยนแปลงทำสิ่งใหม่ แต่งตั้งคนที่มีความรู้ ทั้งการตลาด และการทำสื่อออนไลน์แบบมีรูปแบบแผน เปลี่ยนวงจรเดิมไปพบเจอคนกลุ่มใหม่ๆ พาดเน่อร์กลุ่มธุรกิจที่มีใจอยากมาร่วมพัฒนาวงการมวย ก็อาจได้ผลลัพท์ที่แตกต่างจากเดิม
ซึ่งในอนาคตอันใกล้ ลุมพินีจึงอาจไม่ใช่แค่สนามมวย แต่คือศูนย์กลางทางธุรกิจและการท่องเที่ยวที่ขับเคลื่อนด้วย Soft Power ของมวยไทยอย่างแท้จริง ความยิ่งใหญ่จะกลับมาอีกครั้ง ไม่ใช่ในรูปแบบเดิม แต่ในฐานะ ตำนานที่มีชีวิต ที่ปรับตัวเข้ากับยุคสมัยได้อย่างชาญฉลาด
ในฐานะลูกหลานคนวงการมวย คุณพ่อหนามเตย ยนตรกิจ หรือ พ.อพิเศษ นรินทร์ พวงแก้ว ทปษ. และอดีตประธานเทคนิคฯ และยังได้รับยกย่องว่าเป็นยอดมวยแห่งยุคปี2500 บอกไว้ว่า ศิลปะแม่ไม้มวยไทย คือสมบัติของลุมพินี โมเดลการสอน และฝึกให้กับคนรุ่นหลังเราควรเน้น
ส่วนเรื่องการแข่งขันมวยไทย ก็เป็นเรื่องของกีฬา เราจัดเพื่อให้คนมาดูมวย ยุคก่อนมวยเก่งๆดังๆมาไม่ขาดสาย แต่นั่นมันอดีต วันนี้เราต้องคิดใหม่ คนไม่มาเพราะไกลหรือป่าว เราอำนวยแฟนๆได้แบบไหน มาแล้วเขาได้อะไร แล้วจะขยายลุมพินีสาขา 2 ทำมวยแนวเอ็นเตอร์เทนคนดู แถวห้วยขวาง โซนแหล่งท่องเที่ยว วางคาแรกเตอร์ให้แตกต่างกัน
หากบทความนี่ พอจะเป็นคำแนะนำ และทำให้ลุมพินีพัฒนาต่อไปได้ ผมก็จะยินดีมากๆ เป็นอีกมุมมอง



