สถานการณ์เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ได้ส่งจดหมายแจ้งรัฐบาลไทยว่าจะจัดเก็บภาษีนำเข้าในอัตราสูงถึง 36% สำหรับสินค้าทุกประเภทที่ส่งออกจากไทยไปยังสหรัฐฯ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป ซึ่งประเด็นนี้ได้รับความกังวลอย่างยิ่งจากภาคส่วนต่างๆ
นายสิทธิพล วิบูลย์ธนากุล ประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร ได้ให้มุมมองและข้อสังเกตเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวในการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ในรายการ “จับกระแส แลสภา” ออกอากาศเมื่อวันพุธที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 เวลา 17.30 น. ที่ผ่านมา ทางช่องทางออนไลน์ YouTube “TP Radio News” ดำเนินรายการโดย ว่าที่ ร.ต.คณรัตน์ ยินดีมิตร
นายสิทธิพลกล่าวว่า อัตราภาษี 36% นี้ “น่ากังวล” อย่างยิ่ง เนื่องจากสูงกว่าคู่แข่งหลายประเทศ เช่น เวียดนามที่โดน 20% มาเลเซีย 25% และอินโดนีเซีย 32% ซึ่งประเทศเหล่านี้ส่งออกสินค้าประเภทเดียวกับไทยไปยังสหรัฐฯ การจัดเก็บภาษีในอัตราที่สูงกว่าจะทำให้สินค้าไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในตลาดสหรัฐฯ อย่างมาก

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและผู้ส่งออก
ประเทศไทยส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 18% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด และเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ มาอย่างต่อเนื่อง โดยปีที่ผ่านมาเกินดุลถึง 1.2 ล้านล้านบาท สินค้าสำคัญที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ได้แก่ โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ และยางรถยนต์ นอกจากผลกระทบระยะสั้นต่อการส่งออกแล้ว ภาษีนี้ยังส่งผลต่อการลงทุนในอนาคต เนื่องจากบริษัทต่างชาติอาจทบทวนการตั้งโรงงานในไทย หากต้องเผชิญกับภาษีส่งออกที่แพงกว่าคู่แข่ง

ข้อสังเกตต่อการเจรจาที่ไม่เป็นผล
นายสิทธิพลตั้งข้อสังเกตว่า การเจรจาลดภาษี 36% ของทีมไทยแลนด์ที่นำโดยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังไม่เป็นผล เนื่องจากอาจมีการเตรียมตัวน้อยเกินไป และข้อเสนอของไทยยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของสหรัฐฯ ที่ต้องการลดการขาดดุลการค้าให้ได้รวดเร็วและมากขึ้น นอกจากนี้ การที่เวียดนามเสนอการลดภาษีสินค้าอเมริกาเหลือ 0% อาจเป็นมาตรฐานที่สหรัฐฯ คาดหวังจากประเทศอื่นๆ และการเจรจาในรอบแรกที่ล่าช้าเกินไปก็อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ข้อมูลไม่เพียงพอต่อการตัดสินใจ
ข้อเสนอแนะเร่งด่วนต่อรัฐบาล
ประธานคณะกรรมาธิการฯ เรียกร้องให้ คณะรัฐมนตรีแพทองธาร 2 โดยเฉพาะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เร่งจัดการเรื่องภาษีทรัมป์ 36% เนื่องจากเหลือเวลาไม่ถึง 1 เดือนก่อนวันที่ 1 สิงหาคม 2568 รัฐบาลต้องทำงานแข่งกับเวลา และต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนทุกภาคส่วนว่ามีกระบวนการรับฟังผู้ได้รับผลกระทบอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะภาคเกษตรกร และต้องเตรียมมาตรการเยียวยาที่เพียงพอ
นายสิทธิพลยังเน้นย้ำว่า รัฐบาลไม่จำเป็นต้องรอผลการเจรจา แต่สามารถเริ่มพูดคุยกับผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบโดยตรงได้ทันที โดยเฉพาะกลุ่ม SME กว่า 5,000 กิจการ ที่กำลังเผชิญกับคำสั่งซื้อที่ลดลง และมีต้นทุนที่ต้องแบกรับ หากไม่เร่งช่วยเหลือ อาจทำให้หลายโรงงานไม่สามารถไปต่อได้
ทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจระยะยาวในระยะยาว นายสิทธิพลเสนอให้รัฐบาลมีแผนยุทธศาสตร์ส่งเสริมการส่งออกรายประเภทสินค้าที่ชัดเจน เพื่อหาตลาดใหม่ทดแทนการพึ่งพิงตลาดสหรัฐฯ เช่น การเจรจา FTA กับสหภาพยุโรป และการหาตลาดใหม่สำหรับสินค้าเกษตรอย่างทุเรียน หรืออุตสาหกรรมยานยนต์ในตลาดออสเตรเลียและตะวันออกกลาง นอกจากนี้ รัฐบาลต้องเอาจริงเอาจังกับการกวดจับสินค้าสวมสิทธิ์ ที่สร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและทำให้ต่างชาติขึ้นภาษีไทย
การทำงานของคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ
นายสิทธิพลได้กล่าวถึงทิศทางการทำงานของคณะกรรมาธิการฯ ว่ายังคงทำงานอย่างต่อเนื่อง แม้ในช่วงปิดสมัยประชุม โดยมีการตั้งอนุกรรมาธิการเพื่อศึกษาการสนับสนุนอุตสาหกรรมไฮเทคและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนและเศรษฐกิจฐานราก นอกจากนี้ ยังมีอนุกรรมาธิการติดตามผลกระทบจากสงครามการค้า และรับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเด็นธุรกิจนอมินีต่างชาติผิดกฎหมาย และสินค้าต่างชาติที่ไม่มี อย. หรือ มอก. ซึ่งได้มีการแก้ไขปัญหาไปแล้วกว่า 600 เรื่อง
สำหรับประชาชนที่มีปัญหาหรือข้อร้องเรียนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจ สามารถยื่นเรื่องได้ผ่านทาง Facebook หรือช่องทางของสภาผู้แทนราษฎร โดยนายสิทธิพลและทีมงานจะนำเรื่องมาติดตามและแก้ไขปัญหาอย่างเต็มที่
รับฟังรายการย้อนหลังได้ทาง YouTube “TP Radio News”