ในแวดวงสื่อกีฬาไทย ชื่อ “กล้าปีนเกลียว” หรือ วันกล้า ขวัญแก้ว นายกสมาคมผูสื่อข่าวกีฬาออนไลน์ เป็นนามปากกาที่แฟนฟุตบอลรู้จักดี ด้วยสไตล์การเขียนที่กล้าวิจารณ์ ตรงไปตรงมา และไม่เกรงใจใคร ชื่อนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความกล้าที่จะพูดในสิ่งที่คนอื่นอาจไม่กล้า แต่ใครจะรู้ว่าเบื้องหลังชื่อนี้มีที่มาจากรุ่นพี่ในวงการอย่าง “มนตรี สยามกีฬา” และเริ่มต้นจากเส้นทางของเด็กนักศึกษาฝึกงานที่หลงใหลในฟุตบอล

หนุ่มใต้แดนพัทลุง ลูกทหาร
วันกล้า ขวัญแก้ว เกิดที่พัทลุงแดนใต้ เรียนโรงเรียนพัทลุง รุ่นเทียมเกวียน คุณพ่อเป็นทหาร ยศผู้พัน จบมัธยมปลายก็มาต่อ มหาลัยที่ กทม.

จุดเริ่มต้นจากสยามกีฬา
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2538 “กล้าปีนเกลียว” หรือที่รู้จักในฐานะคอลัมนิสต์ฟุตบอลไทย เริ่มต้นชีวิตในวงการสื่อด้วยการเป็นนักศึกษาฝึกงานที่ สยามกีฬา ขณะนั้นเขายังเรียนไม่จบ อยู่ในช่วงปี 2-3 ของคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยธนบุรี ด้วยความหลงใหลในกีฬา โดยเฉพาะฟุตบอล เขามุ่งมั่นเลือกเส้นทางนี้ตั้งแต่สมัยเรียน ไม่ว่าจะเป็นการเขียนบทความวิเคราะห์ฟุตบอลหรือถ่ายภาพกีฬาให้อาจารย์ ความรักในฟุตบอลนำพาเขาให้สมัครฝึกงานที่ สยามกีฬา ผ่านการแนะนำของเพื่อนและรุ่นพี่ในวงการ
“ผมสนใจฟุตบอลมาตลอด เรียนก็เขียนเรื่องฟุตบอล ถ่ายรูปก็ถ่ายฟุตบอล พอได้ฝึกงานก็เลือกด้านกีฬาเลย” เขาย้อนความหลังในรายการสัมภาษณ์บน YouTube ช่อง Fighthaipress


ที่มาของ “กล้าปีนเกลียว”
เมื่อเริ่มงานที่ สยามกีฬา เขาได้ลองใช้นามปากกาหลายชื่อ เช่น “นายจิ้งจอก” แต่ไม่มีชื่อใดโดนใจรุ่นพี่อย่างมนตรี จนกระทั่งวันหนึ่ง มนตรีเสนอชื่อ “กล้าปีนเกลียว” ให้เขาใช้ คำนี้ไม่ได้มาจากการชื่นชมแบบหวานหยด แต่สะท้อนมุมมองของรุ่นพี่ที่มองว่าเด็กหนุ่มคนนี้มีสไตล์การเขียนที่กล้าชน กล้าวิจารณ์ และไม่ยอมอ่อนข้อให้ใคร

“ตอนแรกผมว่านี่ไม่ใช่คำชมนะ” เขาหัวเราะ “แต่มันก็ตีความได้หลายแบบ กล้าปีนเกลียวคือกล้าเขียน กล้าวิจารณ์ในสิ่งที่คนอื่นอาจไม่กล้า หรือเขียนแบบดุดันหน่อย”
ชื่อนี้กลายเป็นจุดเด่นของเขาในคอลัมน์ฟุตบอลไทย ทำให้ผู้อ่านจดจำได้ทันที และกลายเป็นเอกลักษณ์ที่ติดตัวเขามาตลอดหลายสิบปีในวงการสื่อกีฬา

เส้นทางสายฟุตบอลไทย
แม้ในใจจะฝันอยากเขียนข่าวฟุตบอลต่างประเทศ ตามรอยทีมดังอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดหรือลิเวอร์พูล แต่โชคชะตากลับพาเขาไปสู่ฟุตบอลไทย ด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่าทักษะภาษาอังกฤษของเขายัง “งูๆ ปลาๆ” ไม่พร้อมสำหรับการแปลข่าวต่างประเทศในยุคที่ไม่มี Google Translate เขาจึงถูกส่งไปดูแลข่าวฟุตบอลไทยแทน
“ตอนนั้นอยากเขียนข่าวต่างประเทศมาก แต่พี่เขาถาม ‘ภาษาอังกฤษเก่งมั้ย?’ ผมบอก ‘พองูๆ ปลาๆ’ เขาก็เลยส่งไปทำฟุตบอลไทย” เขาเล่าด้วยรอยยิ้ม


จากจุดนั้น เขาค่อยๆ พัฒนาตัวเอง เรียนรู้และปรับตัวจนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านฟุตบอลไทย งานของเขาไม่เพียงแต่รายงานผลการแข่งขัน แต่ยังวิเคราะห์เกมและนำเสนอมุมมองที่แหลมคม สร้างความสนุกให้แฟนบอลผ่านคอลัมน์ที่ทั้งทายผลและวิจารณ์แบบถึงพริกถึงขิง


จากฝึกงานสู่เส้นทางคอลัมนิสต์ นักวิจารณ์กีฬา
การเริ่มต้นจากนักศึกษาฝึกงานที่ตามติดงานสนามในซีเกมส์ 2538 ที่เชียงใหม่ สู่การเป็นคอลัมนิสต์ที่มีอิทธิพลในวงการสื่อกีฬาไทย “กล้าปีนเกลียว” ได้พิสูจน์ว่า passion และความกล้าคือกุญแจสู่ความสำเร็จ เขาไม่เพียงแค่เขียนเพื่อรายงาน แต่เขียนเพื่อสร้างความตื่นเต้นและจุดประกายให้แฟนฟุตบอลไทย



ทุกวันนี้ “กล้าปีนเกลียว” ยังคงเป็นชื่อที่แฟนบอลพูดถึง ไม่ว่าจะในสื่อทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์ หรือช่องทางออนไลน์ เขาคือตัวอย่างของคนที่กล้าฝัน กล้าทำ จากเด็กที่คลั่งไคล้ฟุตบอล และกล้าปีนเกลียวในแบบฉบับของตัวเอง



ในปัจจุบัน วันกล้า ขวัญแก้ว หรือ กล้าปีนเกลียว ยังคงโลดแล่นในแวดวงกีฬาเป็นหลัก หลายครั้งมีชื่อเข้าไปอยู่ในกรรมการ และนักวิชาการในบทบาทนักสื่อสารมวลชนผู้มีประสบการณ์ ร่วมกับหน่วยงานกระทรวงทบวงกรม และกรรมาธิการกีฬา วุฒิสภา ซึ่งสามารถผลักดันนโยบายและร่วมมือในการขับเคลื่อนกีฬาในหลายมิติ



นอกจากนี้ ตลอด 6-7 ปี สมาคมฯที่วันกล้า นั่งเป็นนายกฯ ก็จัดกิจกรรม ทั้งในรูปแบบการอบรมทักษะสื่อกีฬาสมัยใหม่ใน 4 ภูมิภาค จัดการแข่งขันกอล์ฟการกุศล การจัดวิ่งมาราธอนเพื่อสัตว์ป่า ทำ CSR ร่วมกับหน่วยงานมากมาย และมอบอุปกรณ์กีฬาให้กับโรงเรียนที่ขาดแคลน

ต้องติดตามดูเส้นทางต่อจากนี้ของ วันกล้า ว่าในบทบาทข้างหน้าต่อไป ทั้งสนามการเมือง หรือท้องถิ่น จะเป็นเป้าหมายต่อไปหรือไม่ เพราะอย่างที่ทราบการเปลี่ยนแปลงให้เกิดความยั่งยืน จำเป็นจะต้องใช้ อำนาจ และเสียงของประชาชนในการขับเคลื่อนเพื่อให้เกิดรูปธรรม
“พูดแล้วก็นึกเสียดายทำไม วันกล้า ไม่ลงสมัคร วุฒิสภา รอบที่ผ่านมา เพราะมองว่ามีลุ้นจริงๆ ” รอบหน้าถ้าได้กุนซือดีๆ เชียร์ครับโพ้มม!
ที่มา: รายการสัมภาษณ์ “ผมกล้าเขียน กล้าวิจารณ์ I ‘กล้า ปีนเกลียว’ นามปากกานี้’ พี่มนตรี สยามกีฬา’ ตั้งให้!” ช่อง YouTube Fighthaipress
ชวนติดตาม: อย่าพลาดเรื่องราววงการกีฬาและฟุตบอลไทย ได้ที่ช่อง YouTube Fighthaipress